วิทยาการ ล้ำสมัยที่เกิดขึ้นในยุคโบราณ 

         เสาเหล็กแห่ง Delhi เดลี

          วิทยาการ ล้ำสมัย โลหะสตมภ์แห่งเดลีหรือที่รู้จักกันในนามของเสาเหล็กแห่งเดลี เป็นเสาโลหะที่มีความสูง 7.2 เมตรตั้งอยู่ในประเทศอินเดียเชื่อว่าถูกสร้างขึ้นมาในสมัยพระเจ้าจันทรคุปต์ที่ 2  ที่ครองราชย์ ในช่วงที่ 375-415 ซึ่งความพิเศษของเสาโลหะแท่งนี้นอกจากจะมีจารึกอันทรงคุณค่าแล้ว สิ่งที่นักโบราณคดีให้ความสนใจอีกหนึ่งอย่างก็คือความคงทนที่ไม่ธรรมดาของมัน  

         มันคือเสาโลหะที่มีความทนทานต่อการสึกกร่อนสูงมากๆ สูงจนน่าประหลาดใจตัวอักษรที่มีการจารึกลงไปนั้นก็ยังคงคมชัดสมบูรณ์มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งหากเทียบกับโลหะอื่นที่สร้างมาจากยุคเดียวกันโลหะพวกนั้นก็แล้วแต่ผุกร่อนและมีส่วนที่เสื่อมสลายไปอย่างชัดเจน จนทำให้เสาเหล็กแห่ง Delhi  ที่ว่านี้ ได้รับการขนานนามว่าเป็นหลักฐานที่ดีที่สุดพิสูจน์ถึงทักษะขั้นสูงของช่างอินเดียโบราณไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการหล่อการขึ้นรูปในการเคลือบโลหะ

     แบตเตอรรี่แบกแดด  

          ในปี 1938 ได้มีการขุดค้นพบแบตเตอรี่  โบราณใกล้เมืองแบกแดด ซึ่งอยู่ในประเทศอิรัก ซึ่งคาดว่ามันน่าจะถูกสร้างขึ้นในช่วง 150 ปีก่อนคริสตกาล ไปจนถึงปี 650 ซึ่งโครงสร้างของมันนั้นตัวไหปั้นขึ้นมาจากดินเหนียวภายในมีแท่งท่อทองแดงและแท่งเหล็ก และมีการใส่ของเหลวที่เป็นกรด ซึ่งน่าจะเป็นน้ำส้มสายชูและมีการอุดปากไหโดยยางมะตอยโดยแบตเตอรี่แบกแดดที่ว่านี้มันสามารถสร้างกระแสไฟฟ้าได้เพียง 1.5 -2 โวลท์เท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอที่จะขับเคลื่อนกลไกหรือเอาไปทำอะไรที่ซับซ้อนได้ จึงทำให้จุดประสงค์ที่แท้จริงของมันนั้นยังเป็นปริศนาอยู่ แต่นักวิชาการให้สันนิษฐานว่ามันน่าจะเป็นเครื่องมือที่ใช้ชุบโลหะก็เป็นได้ 

      The Viling sunStone 

         ไวกิ้งมันขึ้นชื่อเรื่องการเดินทะเลเป็นอย่างมากพวกเขาสามารถล่องเรือได้ในทุกสภาพอากาศและยังคงเป็นที่เล่าขานมาจนถึงปัจจุบันซึ่งหนึ่งในเคล็ดลับสำคัญของพวกไวกิ้งก็คือความสามารถในการระบุทิศทางได้อย่างแม่นยำซึ่งเขามีสิ่งที่เรียกว่าซันสโตนเป็นตัวช่วย  ufabet   โดยในตำนานได้กล่าวว่าพวกเขาใช้ ซันสโตน ในการหาตำแหน่งของดวงอาทิตย์อย่างแม่นยำ แม้จะเป็นในวันที่ฟ้าครึ้มหรือแม้จะเป็นในช่วงเวลาที่แทบจะไม่มีแสงอาทิตย์เลย  

           ซึ่งที่ผ่านมาวิธีการใช้ ซันสโตนที่ว่านี้ก็เป็นปริศนามาโดยตลอด แต่ทว่านักวิจัยในปัจจุบันก็ได้ค้นพบวิธีที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดนั่นคือการทำจุดสีดำด้านหนึ่งของซันสโตนแล้วมองมาจากด้านตรงข้าม ซึ่งก็คือการหักเหของแสงจะทำให้มองเห็นจุด 2 จุดที่มีความเชื่อและความคมชัดไม่เท่ากันจากนั้นพวกเขาก็จะส่องมันไปตามแนวเส้นขอบฟ้าและในตำแหน่งใดก็ตามที่จุด 2 จุดนี้มีความคมชัดเท่ากันจุดนั้นก็คือตำแหน่งของดวงอาทิตย์ นั่นจึงทำให้พวกเขาสามารถระบุทิศทางได้อย่างแม่นยำนั่นเอง